วัฒนธรรม 8 เสน่ห์
1. อาหาร
ดำรงวิถีชาวบ้านห้วยเคียนอพยพมาจากภาคอีสาน ตั้งแต่ปี 2505 และยังคงวัฒนธรรมแบบอีสานจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับวัฒนธรรมอาหารที่สมาชิกในหมู่บ้านยังคงวัฒนธรรมนี้ไว้ คือวัตถุดิบ ที่นำมาประกอบอาหารสามารถหาได้ตามธรรมชาติทั่วไปได้แก่ ปลา แมลงบางชนิด พืชผักต่าง ๆ และจะมีข้าวเหนียวนึ่งเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับภาคเหนือ
เมื่อนักท่องเที่ยวมาเยือนหมู่บ้านห้วยเคียนนั้นจะต้องไม่พลาดเมนูเด็ดที่ชาวห้วยเคียนภูมิใจนำเสนอ
นั่นคือ
ส้มตำปลาร้า
เมนูอีสานชื่อดังจากฝีมือของชาวบ้านห้วยเคียน
รสชาติสุดแซ่บ อร่อยจัดจ้าน เน้นใช้มะละกอสดๆ ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป แล้วนำมาสับเป็นเส้นๆ
ตำใส่น้ำปลาร้าต้มสุก ใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ ได้ทั้งความเผ็ด เปรี้ยว และเค็ม
รับประทานกับผักสด ไก่ย่าง ข้าวเหนียว
แจ่วบ่อง
จัดเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวอีสานที่เป็นต้นตำรับทำกันมาตั้งแต่สมัยโบราณตามวัฒนธรรมอีสาน
วิธีการคือนำพริกแห้ง กระเทียม หอมแดง ข่าอ่อน คั่วจนสุกหอม
นำลงโขลกพร้อมตะไคร้ซอยจนละเอียดนำปลาร้าสับละเอียดมาตำคลุกเคล้าให้เข้ากัน
เหมาะสำหรับรับประทานคู่กับข้าวเหนียว ทั้งในยามที่อยู่บ้านหรือออกทุ่งนา
ซึ่งสามารถทำได้ง่าย พกพาง่าย เพียงขนาดสองสามช้อนก็ทำให้อิ่มได้
ยำเทพธิดาดอย
อาหารพื้นบ้านของภาคอีสานที่เราค่อนข้างจะคุ้นเคย
หากพูดถึงส้มตำก็ต้องมีซุปหน่อไม้ คือการนำหน่อไม้รวก
มาต้มกับใบย่านางจนสุก แล้วตักเอาเฉพาะเนื้อหน่อไม้ที่เตรียมไว้และน้ำใบย่านางอีกเล็กน้อย
เอามาปรุงแต่งรสชาติด้วยข้าวคั่ว ต้นหอม ผักชีฝรั่ง พริกป่น คลุกเคล้ากับน้ำมะนาว
น้ำปลาร้า เพียงเท่านี้ก็ได้รสชาติอร่อยแบบแซ่บสุด ๆ
แกงนางหน้าคว่ำ
อาหารพื้นบ้านอีสานน้ำขลุกขลิก
ใส่หอยขม ต้มด้วยน้ำคั้นใบย่านางสีเขียวเข้มที่มีสรรพคุณช่วยขับพิษและลดไข้
แล้วเติมใบชะพลูและผักชีลาวเพื่อเพิ่มความหอมแถมยังมีข้าวเบือปิ้งที่ช่วยให้น้ำแกงข้นน่ารับประทานขึ้น
2.
การแต่งกาย
สิ่งแรกที่ทำให้ต้องสะดุดตานั่นก็คือ
การแต่งการที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์อย่างชัดเจน ลวดลายของผ้าสะท้อนความเป็นท้องถิ่นหรือชุมชนที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันและเป็นการผสมกลมกลืนระหว่างการแต่งกายแบบอีสานกับทางเหนือ โดยผู้ชายแต่งกายด้วยชุดที่เรียกว่าอีสานล้านนา
คือ สวมเสื้อม่อฮ่อมตามแบบฉบับชาวเหนือ แต่นุ่งโสร่ง และคาดเอวด้วยผ้าขาวม้า
ส่วนของผู้หญิงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมพื้นเมือง
อันเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของหมู่บ้านห้วยเคียน ซึ่งสะท้อนความเป็นท้องถิ่นของอีสานที่รักษาและสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
3.
ที่อยู่อาศัย
บ้านเรือนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านห้วยเคียน
จะเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ คือด้านบนเป็นไม้ และด้านล่างเป็นปูนที่เกิดจากการต่อเติมขึ้นตามยุคสมัยจากบ้านไม้ยกสูง
4.
ประเพณี
ประเพณีบุญบั้งไฟ ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์
โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา
การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” หรือ
“พญาแถน”ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของพญาแถน หากทำให้พญาแถนโปรดปราน มนุษย์ ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาพญาแถน
การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังพญาแถน
ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน
และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน
นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ
เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก
พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์
5.
ภาษา
ชาวบ้านห้วยเคียนยังคงใช้ภาษาอีสานในการสื่อสารกันภายในหมู่บ้าน
ใช้ภาษาเหนือในการสื่อสารกับชาวเหนือทั่วไป
และใช้ภาษากลางเมื่อมีการติดต่องานราชการ หรือสื่อสารกับคนภาคอื่น ๆ
6.
อาชีพ
ชาวบ้านห้วยเคียนมีอาชีพหลักคือการทำนา
และบางรายมีรายได้เสริมจากการจากงานหัตถกรรม เช่น การทอดผ้าไหม จักสาน เป็นต้น
7.
ความเชื่อ
ประเพณีการบายศรีสู่ขวัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ เรื่องขวัญหรือจิตใจอันก่อให้เกิดกำลังใจที่ดีขึ้น ชาวอีสานให้ความสำคัญทางด้านจิตใจเป็นอย่างมาก ในการดำเนินชีวิตแต่ละช่วง มักมีการบายศรีสู่ขวัญควบคู่กันเสมอจึงพบเห็นการสู่ขวัญทุกท้องถิ่นในภาคอีสาน
การบายศรีสู่ขวัญ
เรียกอีกอย่างว่า การสูดขวัญ หรือการสูดขวน เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่คน
หรือเสริมสิริมงคลแก่บ้านเรือน ล้อเลื่อน เกวียน วัว รถ เป็นต้น การบายศรีสู่ขวัญ จึงเป็นพิธีกรรมหนึ่ง
ที่ทำให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การบำรุงขวัญถือเป็นการรวมสิริแห่งโภคทรัพย์
ในพิธีสู่ขวัญ
บางทีเรียกว่า พิธีบายศรี พิธีสูดขวัญ หรือบายศรีสู่ขวัญ
ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งของชาวอีสาน และนิยมทำกัน แทบทุกโอกาส
จะมีการทำบายศรีประกอบในพิธี โดยเป็นบายศรีแบบดั้งเดิมหรือแบบประยุกต์
ซึ่งการทำบายศรีแบบประยุกต์นี้ จะทำตามจินตนาการของผู้ทำบายศรีให้เกิดความสวยงามวิจิตรพิสดารและสอดคล้องกับความเชื่อของท้องถิ่นนั้น
ๆ โดยชาวอีสานบ้านห้วยเคียน หมู่ที่ 5 ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง
จังหวัดเชียงราย ยังคงยึดถือและปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน
8.
ศิลปะและวัฒนธรรม
เซิ้งต้อนรับ
เซิ้ง หมายถึง
การร้องรำทำเพลงแบบพื้นเมืองอีสาน
ลีลาและจังหวะการร่ายรำจะรวดเร็วกระฉับกระเฉง การแต่งกาย
จะแต่งกายตามแบบพื้นเมืองของชาวอีสาน
ส่วนใหญ่การเซิ้งจะใช้สำหรับนำกระบวนแห่ต่าง ๆ
แต่ต่อมาภายหลังได้มีการปรับปรุงการเซิ้งแบบใหม่เพิ่มเติมขึ้นมาอีก เช่น
เซิ้งสวิง เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งโปงลาง
เซิ้งตังหวาย เซิ้งกระโป๋ เป็นต้น ที่บ้านห้วยเคียน หมู่ที่ 5
ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย มักจะเซิ้งร่วมกับวงกลองยาว
เต้นบาสโลบ
การแสดงของชาวบ้านห้วยเคียนนั้น
จะเป็นการเต้นรำบาสโลบ จากกลุ่มแม่บ้าน บ้านห้วยเคียน การเต้นรำบาสโลบ
คือการเต้นรำหมู่ของประเทศลาว ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศฝรั่งเศส
คนลาวนิยมเต้นเวลาออกงานสังคม เช่นงานเลี้ยงสังสรรค์ งานแต่งงาน
รวมไปถึงงานเลี้ยงรับรองที่เป็น เวลาเต้นจะตั้งเป็นแถวหน้ากระดานหรือเป็นแถวตอน
นิยมมีผู้เต้นหลายคน สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน
คือทุกคนจะเต้นเป็นจังหวะอย่างพร้อมเพรียงกัน ขยับไปซ้ายที ขวาที
มีการเตะเท้า และตบมือเป็นจังหวะตามเพลง ดูมีเสน่ห์และสวยงาม
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ณ วัดห้วยเคียน
ภาพวาดตำนานพระเวชสันดรชาดก
ถูกวาดลงบนผืนฝ้ายพื้นเมือง ขนาดความกว้างประมาณ 2 เมตร
ความยาวประมาณ 50 เมตร ถูกนำมาจากอีสานพร้อมกับชาวบ้าน
(ไม่ปรากฏหลักฐานผู้วาด) ปัจจุบันลูกหลานนำมาสร้างภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง ณ
ศาลาการเปรียญ วัดห้วยเคียน โดยคัดลอกลวดลายมาจากภาพผืนผ้าดังกล่าว ส่วนภาพวาดต้นฉบับนั้นถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่วัด
ตักบาตรข้าวเหนียว
“ตักบาตรข้าวเหนียว”
จะเริ่มขึ้นในเวลาเช้าตรู่ของทุกวัน
ถือว่าเป็นกิจวัตรแรกของวันที่ต้องปฏิบัติก่อนจะแยกย้ายกันออกไปทำภารกิจการงานของตน
สิ่งสำคัญคือข้าวเหนียวที่จะนำมาใส่บาตร จะต้องเป็นข้าวเหนียวที่นึ่งเสร็จใหม่ๆ
ร้อนๆ และแยกออกมาโดยเฉพาะเพื่อใส่บาตรเท่านั้น และเมื่อพระเดินบิณฑบาตมาถึง
จะใช้นิ้วมือขวาหยิบข้าวเหนียวขึ้นมาเป็นก้อนเล็กๆ โดยไม่ปั้น ใส่ลงไปในบาตร